ข้อสงสัย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม–ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “สงสัยในการภาวนา”
กราบนมัสการหลวงพ่อ ผมมีข้อสงสัยในการภาวนา ขอกราบเรียนถามดังนี้ครับ
๑. ในมโนสัมผัสนั้น ตัวสัมผัสเป็นขันธ์หรือกายของใจ หรือว่าตัวใจนั้นเป็นตัวสัมผัสโดยตัวของมันเองครับ
๒. ผมมีความเห็นว่า มโนสัมผัสเกิดขึ้นก่อน แล้วเกิดมโนวิญญาณตามมา
ดังนั้นความเห็นของผมนี้ผิดถูกประการใด ขอหลวงพ่อเมตตาแนะนำด้วยครับ
ตอบ : นี่คำถามนะ ถ้าเป็นคำถามๆ ถ้าเป็นคำถามแบบนักปฏิบัติด้วยกันมันก็คำถามแบบนี้ถามกันได้ แต่ถ้าคำถามแบบนี้ ถ้าเรากับพระลูกศิษย์ด้วยกันถามมานะ เราบอกเลยว่า มึงน่ะไร้สาระ ไร้สาระมาก
เห็นไหม คำถามมันเรียบง่าย แต่มันเป็นประเด็นในหมู่นักปฏิบัติทั้งหลาย คำถามๆ ถ้าเป็นประชาชนที่มีศรัทธาความเชื่อถามอย่างนี้ถามได้ เพราะมันสงสัยไปหมดน่ะ
แต่ถ้าเป็นนักปฏิบัติด้วยกันนะ นี่ไร้สาระ ไร้สาระเพราะอะไร ไร้สาระเพราะว่ามึงทำอย่างนี้ไม่ได้ มึงจะรู้อย่างที่มึงรู้ตามความเป็นจริงเป็นไปไม่ได้ เราใช้คำว่า “เป็นไปไม่ได้เลย” เพราะอะไร
เพราะคนที่ประพฤติปฏิบัตินะ เวลาปฏิบัติไปเป็นชั้นเป็นตอน ให้ทำความสงบของใจเข้ามาๆ โลกก็ติเตียนติฉินนินทาว่าพุทโธๆ เป็นสมถะ แก้กิเลสไม่ได้ ทำแต่พุทโธๆ อยู่นั่น ทำสมาธิอยู่นั่นน่ะ แล้วมันจะเกิดปัญญาขึ้นมาเมื่อไหร่
แล้วไอ้พวกที่นักปฏิบัติด้วยกัน พวกอภิธรรมใช้ปัญญาทั่วพร้อม ปัญญาทั่วพร้อมนั่นเป็นปัญญาทั้งนั้น ว่าอย่างนั้นเป็นปัญญา
นั่นน่ะเป็นความจำ เป็นสัญญาทั้งนั้นน่ะ มันเป็นปัญญาอะไรขึ้นมา มันไม่มีปัญญาเลย
แต่เวลาครูบาอาจารย์เราฝึกหัดปฏิบัตินะ ทำความสงบของใจเข้ามา พอใจสงบแล้วนะ ยกขึ้นสู่วิปัสสนา ขึ้นบุคคลคู่ที่ ๑ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล
อรหัตตมรรคนั่นน่ะมันถึงจะเห็นมโน ไอ้มโนๆ นั่นน่ะ มโนสัมผัสนั่นน่ะเป็นบุคคลคู่ที่ ๔ คู่สุดท้าย เพราะ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ ตัวมโนก็เบื่อหน่าย ตัวสัมผัสก็เบื่อหน่าย สิ่งที่เกิดจากสัมผัสก็เบื่อหน่าย ในสวดมนต์อาทิตตปริยายสูตรไง
เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านพูดไง ในอนัตตลักขณสูตร ละขันธ์ ๕ ก็เบื่อหน่าย แต่ท่านบอกว่า ถ้าละขันธ์ ๕ ก็ละขันธ์ มันไม่เข้าถึงจิต มันไม่เข้าถึงตัวมโน ในอาทิตตปริยายสูตรนะ มโนเลย
สัมผัสนะ กาย เวทนา จิต ธรรม เวลาพิจารณาเข้าไป นี่มันเป็นสัมผัส เป็นอายตนะ ๖ ไง กาย เรื่องผัสสะ เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย เวลาถึงใจ ใจคือมโน มโนวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ นั่นเป็นอาทิตตยปริยายสูตร
นี่พูดถึงว่าเวลาผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัตินะ เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ท่านจะรู้ว่าขั้นตอนขึ้นมาบุคคล ๔ คู่ คู่ไหน คู่ที่ ๑ คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๔
แต่นี่ผู้ถาม ถามโดยการฝึกหัดปฏิบัติ ในวงกรรมฐาน ในวงพระกรรมฐานไง
ถ้าเป็นปริยัติก็การศึกษาค้นคว้า ก็เข้าใจได้ ก็ทำได้ คิดได้ ทำได้ แล้วถ้าฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา ให้ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าใจสงบระงับเข้ามา สัมมาสมาธิ มันสมบูรณ์แบบไปด้วยขันธ์ ๕ สมบูรณ์แบบไปด้วยอายตนะ สมบูรณ์แบบเต็มตัวมันน่ะ แล้วมันจะรู้จักมโน แล้วไปสัมผัส สัมผัสอย่างไร
นี่พูดถึงว่า นี่แค่ปูพื้นฐานนะ นี่ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ ปูพื้นฐานให้เห็นว่า ความเข้าใจในภาคปริยัติกับภาคปฏิบัติ ภาคปริยัติคือการศึกษาค้นคว้า ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา การศึกษาค้นคว้านี้ผิดไหม ถูก ไม่ผิดหรอก ถูก ถูก ถูกในภาคปริยัติ ปริยัติ ปฏิบัติ ถึงจะปฏิเวธ ปริยัติ ปฏิเวธ มันเป็นไปไม่ได้
ฉะนั้น ปริยัติจะปฏิเวธคือความเข้าใจ ก็เข้าใจแบบคำถามนี้ไง ฉะนั้น สิ่งที่ว่า ในมโนสัมผัส ในมโนคือตัวจิต
เรารู้จักตัวจิตแล้วหรือ เราถึงว่ามโนสัมผัส
มโนสัมผัสมันก็เป็นวิปัสสนึกไง มันนึกเอา มันเป็นอารมณ์ มันเป็นจินตนาการไป ถ้าจินตนาการไปแบบนี้ ถ้าเป็นพระกรรมฐาน ลูกศิษย์ของหลวงตาพระมหาบัว ท่านบอกว่า ปัญญาอบรมสมาธิ
ปัญญาอบรมสมาธิ แล้วถ้าเราใช้ปัญญาควบคุมจิตใจของเรา บอกว่าในมโนสัมผัส เราก็จับอารมณ์ของเราว่า อ๋อ! นี่คือการสัมผัส นี่คือการกระทบ นี้ถึงเกิดอารมณ์ เราก็เข้าใจได้ ถ้าเราใช้ปัญญาอบรมสมาธินะ
“ในมโนสัมผัสนั้น ตัวสัมผัสเป็นขันธ์หรือกายของใจครับ” นี่คำถาม
ในอารมณ์ที่กระทบไง ผู้รู้คือตัวใจ สิ่งที่ถูกรู้คืออารมณ์ ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันจับได้ จากอารมณ์มันจะเป็นขันธ์ไง
อารมณ์ เราเป็นอารมณ์เป็นสามัญสำนึกใช่ไหม โกรธ โลภ หลง มันลากไปหมดน่ะ นั่นอารมณ์ แต่ถ้าจิตมันสงบแล้วมันจับอารมณ์ อารมณ์ประกอบไปด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันก็เป็นขันธ์
คำว่า “เป็นขันธ์” ขันธ์นี่นะ นี่สมมุติบัญญัติ บัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่คือคำสอน นี่คือศาสดา
ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คนที่จะรู้จักขันธ์ ๕ ได้ต้องเป็นนักปฏิบัติที่ทำความสงบของใจเป็น ทำความสงบของใจได้ ใจสงบนั้นคือสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ นี่คือสมาธิ
เขาไม่พูดว่ามโน เขาไม่ได้บอกว่าใจ เขาว่าสมาธิ เพราะสมาธิเกิดจากจิต เกิดจากใจ
แล้วว่า ใจสัมผัสๆ มโนสัมผัส
มโนอะไรสัมผัส ความรู้สึกสัมผัส อารมณ์เราสัมผัส สัมผัสกับอะไร อารมณ์สัมผัสกับอารมณ์ อารมณ์สัมผัสกับกิเลส
แต่เราก็ศึกษาธรรมะไง เราก็จินตนาการว่านี่เป็นมโน นี่เป็นสัมผัส นี่เป็นอารมณ์ นี่เป็นความรู้สึก นี่เป็นสุข นี่เป็นทุกข์ ใช้ได้ไหม
ได้ เป็นปัญญาอบรมสมาธิไง
แต่ถ้ามันจะเห็นมโน เห็นสัมผัส เห็นขันธ์ เห็นกาย โอ้! ถ้าจะเอาตามความเป็นจริงนะ เอาตามความเป็นจริงในวงกรรมฐานในครูบาอาจารย์ที่ท่านอบรมบ่มเพาะลูกศิษย์ เพราะให้มันถูกต้องชอบธรรมไง
ความถูกต้องชอบธรรมนะ ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เห็นอันแรกคือเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม แล้วถ้าแยกแยะได้เป็นบุคคลคู่ที่ ๑ แล้วคู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓
คู่ที่ ๓ นั่นน่ะไปติดอยู่ไอ้ว่างๆ ว่างๆ ว่าจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม นั่นน่ะไปจินตนาการกันอยู่อย่างนั้นน่ะ
แต่ถ้ามันรู้นะ ถ้ามันเห็นจิต ถ้าเห็นจิต จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้น ข้ามพ้นคือใช้ปัญญา แต่กว่าจะข้ามพ้นได้ มโนวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ ตัวมโน ตัวจิตเดิมแท้ไง มโนคือจิตเดิมแท้ แล้วจิตเดิมแท้อยู่ที่ไหนล่ะ
ทีนี้นี่เป็นคำถาม นี่บอกว่า คำถามนี้มันเป็นแบบว่าเป็นภาคทฤษฎี เป็นภาคความจำ เป็นภาคจินตนาการ ถ้าเป็นปริยัติก็ถูกต้อง
ถ้าเป็นภาคปฏิบัติ ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ใช่ คำว่า “ปัญญาอบรมสมาธิ” คือเราฝึกหัดแล้วควบคุมจัดระบบความคิด
ความคิดนี้มันไหลไปตามกิเลสไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีเหตุไม่มีผล มันไปตามอารมณ์ของมันนั่นน่ะ เรามีสติ แล้วสติเท่าทันความคิด ไม่ใช่ควบคุม เท่าทัน เท่าทันจนมันเริ่มหยาบ กลาง แล้วมันเริ่มละเอียดขึ้น
ละเอียดขึ้น หมายความว่า เรามีสติกับอารมณ์ของเรา แล้วเรามีสติยับยั้งความคิดของเราได้ด้วยปัญญา
ด้วยปัญญาคือว่า ความคิดนั้นเป็นความคิดที่ไหลไปตามอารมณ์ความรู้สึก แล้วถ้ามีสติปัญญาเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเทียบเคียง คือว่าปัญญาอบรมสมาธิ
คือความคิดที่ไม่มีใครควบคุมไม่มีใครดูแลมันไหลไปตามธรรมชาติของมัน พอเรามีสติ เฮ้ย! ทำไมคิดอย่างนี้ล่ะ ความคิดนี้ไม่ถูกต้อง แล้วคิดถูกต้องคิดอย่างไร นี่มันจะมีสติปัญญาเท่าทันมัน เท่าทันมัน เท่าทัน นี่ปัญญาอบรมสมาธิด้วยสติด้วยปัญญา
มันจะคิดอย่างไรให้มันคิดไป นี่ปัญญาอบรมสมาธิ แต่ด้วยสติด้วยปัญญาถึงที่สุดแล้ว เอ๊ะ! เอ็งคิดไปทำไมวะ มันก็หยุด หยุดคิด หยุดคิดมันมีสติ มันเท่าทัน นี่คือปัญญาอบรมสมาธิ
ถ้าปัญญาอย่างนี้ สติปัญญาอย่างนี้ พิจารณาแบบคำถามนี้ เราว่า เออ! ใช่ เป็นพื้นฐาน เป็นการฝึกหัดเริ่มต้นของการปฏิบัติ
แต่คำถามมานี่ “ในมโนสัมผัสนั้น”
เฮ้ย! นั่นมโนสัมผัสอะไรของมึงน่ะ เอ็งรู้จักมโนแล้วหรือ แล้วมโนมันอยู่ที่ไหน แล้วมันสัมผัสกับอะไร ถ้าเราตอบว่าใช่ เฮ้ย! กูก็บ้าเหมือนกันเว้ย คนถามก็ถามมาด้วยความไม่รู้ ไอ้คนตอบก็อยากจะโชว์ออฟคุยโม้ไปเรื่อยเฉื่อยเลย
นี่ไง ในวงปฏิบัติในวงกรรมฐาน นี่ไง ปุถุชน กัลยาณชน มันมีสเต็ปของมันเลยนะ เป็นระดับเลย เวลาหลวงตาท่านเทศน์ถึงมหัศจรรย์ไง ท่านมหัศจรรย์ถึงหัวใจของคน มันเป็นไปได้ถึง ๘ สถานะ บุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล
ในสังฆคุณที่เราสวดมนต์ทุกวันนั่นแหละ ในสังฆคุณ บุคคล ๔ คู่นั่นแหละ บุคคล ๔ คู่เป็นบุคคล ๘ ใจเท่านั้นที่มันเป็น แล้วถ้าใจมันเป็นขึ้นมา ถ้าไปถึงบุคคลคู่ที่ ๓ จะขึ้นคู่ที่ ๔ มันถึงจะเข้าตรงนี้ มโนวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ เหตุแห่งการเกิดสัมผัสนั้นก็นิพฺพินฺทติ เกิดเบื่อหน่าย เกิดเห็นความทุกข์ความยาก เกิดสลัดทิ้ง พ้นจากบุคคล ๔ คู่
นี่มันถึงว่า ฉะนั้น คำถามเราไม่เชื่อ
“ในมโนสัมผัสนั้น ตัวสัมผัสเป็นขันธ์หรือกายของใจ หรือว่าตัวใจนั้นเป็นตัวสัมผัสหรือตัวมันเองครับ”
มันมั่วไปหมดเลยไง มันคลุกเคล้าไปหมดเลย ไอ้นู่นก็เป็นไอ้นี่ ไอ้นี่ก็เป็นไอ้นั่น ไอ้นั่นก็จะเป็นไอ้นู่น นี่ความสงสัยไง ข้อสงสัย ตัดทิ้ง คิดไปเลย คิดให้มันหยุด นั้นเป็นปัญญาอบรมสมาธิ
“๒. ผมมีความเห็นว่า มโนสัมผัสนั้นเกิดขึ้นก่อน แล้วจึงเกิดมโนวิญญาณตามมาครับ”
พอความเห็นผิด ความเข้าใจผิด มันก็ผิดของมันไปเรื่อย ถ้าผิดไปเรื่อย เราถึงบอกว่าให้เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิคือใช้ปัญญาเพื่อความสงบ
มันไม่มีอะไรหรอก มันยังไม่เกิดอะไรขึ้นเลย มันยังไม่เกิดมรรคเกิดผลเกิดข้อเท็จจริงขึ้นมาในใจของตน
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรา กึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญจากหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่านจนท่านสิ้นสุดกิเลสจนเป็นพระอรหันต์ สิ้นสุดแห่งทุกข์ แล้วท่านเห็นโทษของการประพฤติปฏิบัติว่ากิเลสนี้มันปลิ้นมันปล้อน มันหลอกมันล่อ มันพลิกมันแพลง มันร้ายกาจที่สุด
ในการทำร้ายกัน ไม่มีสิ่งใดร้ายเท่ากับกิเลสทำร้ายคน แล้วกิเลสทำร้ายหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น ฉะนั้น สิ่งที่จะปลอดพ้นจากมันก่อนคือต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน คือทำสมถกรรมฐาน สัมมาสมาธิขึ้นมาให้ได้ก่อน ถ้าได้ก่อนแล้ว ถ้าจะเกิดสติเกิดปัญญา มันจะเกิดปัญญาจากสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน เป็นมรรคเป็นผล เป็นธรรมขึ้นมาได้ ถ้าคนคนนั้นมีวาสนา
ถ้าคนคนนั้นไม่มีวาสนา ทำสมถะแล้วบอกว่า “นิพพานเป็นเช่นนี้เอง ความว่างเป็นนิพพานเอง” มันจะติดอยู่นั่นน่ะ นี้มันก็เป็นอำนาจวาสนา เป็นบุญเป็นบาปของแต่ละบุคคล เราจะไปจัดขบวน จัดแบ่งพรรคแบ่งพวกแบ่งเป็นกลุ่มเป็นก้อนไม่ได้ มันเป็นวาสนาของจิตดวงนั้น
ฉะนั้น เวลาบอกว่า “ผมมีความเห็นว่า”
แค่ผมมีความเห็นว่า ก็เรื่องของผม
“มโนเกิดขึ้นก่อน ความรู้สึกเกิดขึ้นก่อน”
อันนี้มันเป็นการสนใจธรรมะ แล้วเป็นการฝึกหัดปฏิบัติ แล้วมาจดจ่อคอยพิจารณาดูว่าอะไรจะคิดก่อน อะไรจะเกิดก่อน แล้วอารมณ์ของคนมันเร็วขนาดไหน แล้วเด็กก็มีความคิดไปแบบหนึ่ง ระหว่างทำงานก็มีความคิดไปแบบหนึ่ง ผู้เฒ่าผู้แก่ก็มีความคิดไปแบบหนึ่งนะ เพราะผู้เฒ่าผู้แก่เขาผ่านโลกมาเยอะ
ไอ้ปฏิบัติตอนนี้คิดอย่างนี้ พอเราตอบปัญหาไปมันคิดใหม่แล้ว ถ้ามันคิดใหม่ อะไรใหม่ มันก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริงไง
ถ้าข้อเท็จจริง กายก็คือกาย เวทนาก็คือเวทนา จิตก็คือจิต ธรรมก็คือธรรม ถ้าพิจารณาไปแล้ว ถ้าพิจารณาชั่วครั้งชั่วคราว ถ้าพิจารณามันปล่อยวางมา มันก็เป็นการปล่อยวางชั่วครั้งชั่วคราวไง
ถ้ามันสมุจเฉทปหาน เวลามันขาด นิโรธดับทุกข์ เป็นอกุปปธรรมนะ บุคคลคู่ที่ ๑ คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๔ นี้คืออกุปปธรรมทั้งหมดนะ อกุปปธรรมคือพ้นจาก สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา พ้นจากความเป็นอนัตตา พ้นจากอัตตาและอนัตตา เป็นวิหารธรรม เป็นข้อเท็จจริง นั้นถ้ามันจริง
ฉะนั้น ถ้ายังสงสัยอยู่ ถ้าถามมานะ แล้วเป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องชอบธรรม เราตอบปัญหานี้ก็ตอบเพื่อสังคม ตอบเพื่อนักปฏิบัติทั้งหมดว่าผู้ที่ปฏิบัติใหม่จะเป็นอย่างนี้
แล้วถ้าเป็นทางโลก ทางโลกทางกิเลสมันก็ยกยอปอปั้นกัน เวลาพูดถึงมโนสัมผัส โอ้โฮ! แสดงว่าบุคคลคนนี้ต้องเป็นนักภาวนาที่เก่งกล้า บุคคลคนนี้เคยภาวนามามากมาย
แต่ถ้าเป็นกรรมฐานนะ จิตเป็นอย่างไร ทำความสงบได้หรือเปล่า
ทำความสงบ เวลามันคิดมันจะคิดโดยสัมมาทิฏฐิด้วยความถูกต้องชอบธรรม ไม่ให้สมุทัยกิเลสมันเข้ามาเจือปน มันเข้ามาชักลากความคิดของตัวเราเอง
ถ้ามันมีกิเลสเข้ามาเจือปน เพราะกิเลสมันมีอยู่โดยดั้งเดิม มันมีอยู่กับจิตมาตั้งแต่เราเกิด เราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าจิตสงบระงับ มีโอกาสได้ใช้ปัญญา นี่ปัญญาจะเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากธรรมชั่วครั้งชั่วคราว ถ้าสมาธิมันอ่อนลง กิเลสมันเพิ่มมากขึ้น มันจะคิดเข้าข้างตัวเอง มันจะคิดเป็นธรรมะ คิดว่าเป็นธรรมๆ แต่ไม่ใช่ธรรม
แต่ถ้าเป็นธรรมนะ เป็นสมาธิ เวลามันคิดขึ้นมามันไม่เชื่อความคิด มันจะตรวจสอบความคิด มันจะเอาความคิดมาพิจารณาว่าใช่หรือไม่ใช่ แล้วจะพิจารณาต่อเนื่องกันไปๆ
อยู่ที่วาสนาของแต่ละบุคคลว่ามีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน มีสติสัมปชัญญะเท่าทันตัวเองมากน้อยขนาดไหน มันถึงเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกไง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันจะเป็นสันทิฏฐิโก รู้ตามความเป็นจริง
นี่พูดถึงปัญหาที่หนึ่ง จบ ต่อไป
ถาม : เรื่อง “สติ สมาธิ ปัญญา”
กราบหลวงพ่อ ขอสอบถามเรื่องการปฏิบัติธรรมจาก ‘ศีล สมาธิ ปัญญา’ แล้วย่อมาเป็น ‘สติ สมาธิ ปัญญา’ โดยให้เริ่มแรกพิจารณาให้จิตมาเกาะอยู่กับกายตั้งแต่หัวถึงเท้า แล้วนึกจากหัวถึงเท้ากลับไปมาจนชัดเจนในความคิด นี้คือสติ
จากนั้นเอาจิตมาจดจ่อที่จมูกดูลมหายใจเข้าออก นี้คือสมาธิ
ปฏิบัติต่อไปพยายามอย่าให้ฟุ้งซ่าน (ถ้าเผลอสติก็มาเริ่มใหม่ จากการพิจารณากายใหม่แล้วมาที่ลมหายใจเข้าออก)
ต่อมาคือการเอาสติและสมาธิมารวมกัน คือนำกายมารวมกับลมหายใจ โดยนึกถึงท่าที่เรานั่งอยู่ดูให้ชัด ใช้คำภาวนาว่ากายชัด(หายใจ)เข้า กายชัด(หายใจ)ออก ทำไปอีกสักพักทั้งสองขั้นนี้ท่านเปรียบเหมือนเราเลี้ยงลูกตะกร้อสองลูกให้อยู่บนอากาศ ต้องไม่ให้ลูกใดลูกหนึ่งตกลงพื้น
เมื่อจิตสงบดีแล้วสามารถเลี้ยงตะกร้อได้โดยไม่ตกพื้น แล้วคราวนี้ให้เริ่มพิจารณาว่า ร่างกายนี้ประกอบไปด้วยธาตุทั้ง ๔ คือดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเราเลย ตรงนี้คือการเลี้ยงตะกร้อใบที่สาม เพื่อให้เห็นว่า ร่างกายเรานี้ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าสติถึง สมาธิแก่กล้า ปัญญาเกิด พิจารณาเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงแล้ว ตะกร้อทั้งสามใบจะลงไปสู่ฐานที่เรียกว่ามรรคสามัคคี
คำถาม
แนวทางดังกล่าวเป็นการปิดอบายภูมิใช่หรือไม่คะ
การพิจารณาร่างกายเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทำให้เกิดปัญญาหรือไม่
หากต้องการพักจิตให้เข้าสู่ภวังค์ ใช่หรือไม่เจ้าคะ
ขอหลวงพ่อโปรดพิจารณาตอบด้วย
ตอบ : ในแนวทางการปฏิบัติๆ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาพระมหาบัวท่านปรารถนามากให้ชาวพุทธได้ฝึกหัดปฏิบัติ
ทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำสมาธิได้หนหนึ่ง ทำสมาธิได้ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำภาวนามยปัญญาขึ้นมาได้หนหนึ่ง นี้เป็นบุญเป็นกุศลมากมายมหาศาล
ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์หวังและปรารถนาให้ชาวพุทธได้ฝึกหัดปฏิบัติ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ แล้วถ้ามันเกิดความจริงขึ้นมา เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกแบบเท่าที่ผู้ถามถามมานี่แหละ มันจะมีความรู้สึกขึ้นมาจากใจ มันจะมีความรู้สึกขึ้นมาจากประสบการณ์ มันจะมีความรู้สึกขึ้นมามากมายมหาศาล ให้ปฏิบัติเถิด
ทีนี้การปฏิบัติๆ ปฏิบัติแนวทางไหนก็ได้ ปฏิบัติอย่างไรก็ได้ ให้ปฏิบัติเถิด แต่เวลาปฏิบัติไปแล้ว ถ้ามีวาสนานะ มันจะเข้าสู่สัจจะ เข้าสู่ความจริง เข้าสู่มรรค เข้าสู่ผล ถ้าไม่มีอำนาจวาสนานะ มันก็เป็นการปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติมาให้เป็นจริตเป็นนิสัย
ฉะนั้น เป็นจริตนิสัย มันกว้างขวาง มันแตกต่าง เห็นไหม คำถามแรกก็คำถามว่ามโนสัมผัส คำถามที่สอง ถ้ามันเกิดพิจารณา ว่าการพิจารณาแล้ว ถ้ามันเกิดแล้ว มันจะปิดอบายได้หรือไม่ มันจะเข้าสู่ภวังค์หรือเปล่า นี่เวลาคำถามเขาไง
ฉะนั้น เวลาบอกว่าปฏิบัติแนวทางศีล สมาธิ ปัญญา มันก็ถูกต้อง จะปฏิบัติอะไรก็ความชอบ ความชอบของคนคือจริตนิสัยของคน ถ้ามันตรงจริตตรงนิสัยมันก็อยากภาวนา แล้วมันภาวนาได้ผลไม่ได้ผล สำคัญตรงนี้ ตรงที่มีครูบาอาจารย์ไหม
ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ พยายามตั้งสติให้ดีๆ อาจารย์ที่เป็นธรรมท่านพูดสิ่งใดแล้วเราเทียบเคียงกับของเรา
เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านขึ้นไปถามหลวงปู่มั่น เวลาหลวงปู่มั่นใส่เอาๆ ท่านก็บอก เราก็เถียง เราเถียงเพราะเราก็มีของเรา เราเถียงเพราะเราปฏิบัติแล้วเรามีประสบการณ์ แต่ประสบการณ์นี้ถูกหรือผิด
พอขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น เถียง เถียงน่าดูเลย เพราะเราก็มีของเรา แต่หน้าแตกทุกทีเลย หัวนี่แบะทุกรอบเลย แต่ถ้าเรารับเหตุผลนะ
ถ้าเราไม่รับเหตุผลเราก็บอกว่า หลวงปู่มั่นชอบใครรักใครก็ว่าคนนั้นดี ไม่ชอบใคร ไม่พอใจใคร ก็อย่างเรานี่ ว่าเราผิดๆๆ ถ้ากิเลสมันเข้าข้างตัวเองนะ
แต่ถ้ามันมีวาสนา มีธรรมเสียหน่อยนะ มันไม่มีครูบาอาจารย์องค์ไหนทำร้ายลูกศิษย์หรอก ถ้ามันเป็นความถูกต้องชอบธรรม
มีอันเดียวเท่านั้นน่ะ ครูบาอาจารย์ที่ภาวนาไม่เป็น เพราะอาจารย์ก็ไม่รู้ อาจารย์ก็ไม่รู้แล้วลูกศิษย์มาถามกูอีก กูก็ตอบไปตามอารมณ์กู อารมณ์ดีก็ตอบว่าใช่ อารมณ์ไม่พอใจก็ว่ามึงผิด ถ้าไปเจออาจารย์อย่างนั้นมันก็เป็นกรรมของสัตว์
ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเวลาจะประพฤติปฏิบัติ เราฝึกหัดปฏิบัติของเราเถิด
ฉะนั้น อย่างที่ว่า ถ้าเริ่มต้นบอกว่าให้ดูลมหายใจ ถ้าลมหายใจขึ้นมา ถ้ามันชัดมันเจนขึ้น พิจารณากายแล้วหายใจเข้า พิจารณากายแล้วหายใจออก
หายใจเราพิจารณาของเรา มันอยู่ที่ว่าหายใจแล้วมันทำนะ ถ้าจิตมันดีขึ้นมันมีความสุขความสงบของมัน เอาความสุขเอาความสงบ
ไอ้ที่หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หายใจเข้าคิดถึงกาย หายใจออกคิดถึงกาย ถูกหรือไม่ถูก
นี่คือวิธีการปฏิบัติ สำคัญว่าจิตเราสงบระงับหรือไม่
คำว่า “สงบระงับ” มันมีความสุขไง ถ้ามันไม่สงบระงับมันเครียดนะ แค่นั่งเฉยๆ มันก็มึนแล้ว ยิ่งนั่งนานๆ เจ็บปวด มันน่าทุกข์น่ายากทั้งนั้นน่ะ แล้วเราทำทำไมล่ะ
ก็เราอยากจะปฏิบัติ เราอยากจะมีความสุข เราอยากจะเท่าทันกิเลสของเรา สุขกับทุกข์ในโลกนี้ เวลาประพฤติปฏิบัติไป วิมุตติสุข สุขที่ในโลกนี้มันไม่มี เราก็อยากทำของเรา ถ้าทำโดยถูกต้องชอบธรรม มีครูบาอาจารย์ เราปรึกษาครูบาอาจารย์ของเรา ทีนี้มันอยู่ที่สติปัญญาของคนไง
ฉะนั้น เขาพูด เขาใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเขาว่า การพิจารณาอย่างนี้มันเหมือนดีดตะกร้อ เลี้ยงตะกร้อไว้บนอากาศสองใบ ถ้าพิจารณาแล้วมันก็เป็นตะกร้อสามใบ ตะกร้อสามใบก็ต้องเลี้ยงไว้ดีๆ
นั่นตะกร้อนะ ถ้าเลี้ยงตะกร้อก็เลี้ยงด้วยปฏิภาณด้วยไหวพริบของคน แล้วเรามาปฏิบัติ ถ้าเราจะเปรียบเป็นตะกร้อมันก็เปรียบได้เป็นการฝึกหัดปัญญา แต่ถ้าเราเปรียบแล้วถ้ากิเลสมันสงบตัวลง ความดีมันเกิดขึ้น นี่ก็เป็นอุบายอันหนึ่ง
แต่ถ้าพอมันพิจารณาครั้งต่อไป ไอ้กรณีอย่างนี้จืดแล้ว มันจะจืดชืด กิเลสมันเท่าทัน มันจะสร้างเป็นตะกร้อ ๕ ใบ ๑๐ ใบ กูเก่งกว่ามึง มึง ๓ ใบ กู ๖ ใบนะมึง ล้มลุกคลุกคลาน
การปฏิบัติครั้งแรกที่ได้ อย่าคิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้นอีก ครั้งต่อไปกิเลสมันพลิกแพลงนะ เราจะเสียท่ามันตลอด
ฉะนั้น ถ้าเป็นอุบายครั้งแรกว่าเปรียบเหมือนตะกร้อ ๒ ใบ ๓ ใบ ถ้ามันดี เออ! นี้เป็นอุบายของผู้ฝึกหัด แล้วจะเปลี่ยนจากตะกร้อเป็นขวดก็ได้ จะเปลี่ยนจากตะกร้อเป็นการพิจารณาอย่างอื่นก็ได้ ถ้าถึงเวลาที่กิเลสมันดื้อ กิเลสมันต่อต้าน กิเลสมันพลิกแพลง อุบายของเราก็ต้องเท่าทันและเปลี่ยนแปลงไป
นี้การที่ว่าใช้อุบายตะกร้อ ๒ ใบ ตะกร้อ ๓ ใบ ถ้ามันดีขึ้น มันสู่ฐาน ฉะนั้นว่า ถ้ามันเลี้ยงตะกร้อได้แล้วเขาถามว่า คำถาม “แนวทางนี้จะปิดอบายภูมิได้หรือไม่”
อบายภูมิ ถือศีล ๕ เราอยู่ในศีลที่สะอาดบริสุทธิ์มันก็ไม่ตกนรก แต่มันจะปิดได้โดยข้อเท็จจริงมันต้องละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส นั่นน่ะปิดโดยข้อเท็จจริงเลย มันไม่ไปอบายภูมิเด็ดขาด จะปิดอบายภูมิต้องมีดวงตาเห็นธรรม
เพราะถ้ายังไม่มีดวงตาเห็นธรรม ไม่มีดวงตาเห็นธรรมมันมีกิเลสใช่ไหม วันใดมันพลั้งเผลอ วันใดที่มันผิดพลาด มันมี เราทำมานี่สุดยอด ดีมาตลอดเลย เวลาใกล้ตายวิตกกังวล ไปแล้ว ดีมาทั้งชีวิตนะ แต่เวลาจะตายไปพลั้งเผลอก็จบครับ
แต่ถ้าบรรลุธรรมมันเผลอไม่ได้ มันเผลอไม่ได้เพราะอะไร สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา วิจิกิจฉาคือความสงสัย เฮ้ย! ที่เราทำมาถูกหรือเปล่าวะ เฮ้ย! นั่นมันจริงหรือเปล่าวะ นี่วิจิกิจฉา ถ้ามันสักกายทิฏฐิมันละไปแล้ว มันจะมีการลูบคลำไหม
ก็กูสลัดทิ้งมึงตั้งนานแล้ว กูจะตายแล้ว กูมีสติพร้อม กูจะไปหลงอะไรวะ มันจะเถียงเลยนะ เพราะมันไม่วิจิกิจฉาไง มันรู้แจ้งในใจของตนสมบูรณ์แบบแล้ว จะอยู่ก็เป็นแบบนี้ กำลังใกล้จะตายก็เป็นแบบนี้ แล้วจะตาย ตายก็ตายแบบนี้ นี่คือการปิดอบาย แต่ถ้ามันยังไม่สมบูรณ์แบบ มันเผลอได้ มันมีเวรมีกรรมมาระหว่างนั้นได้
ฉะนั้นถึงบอกว่า จะปิดอบายๆ ใครๆ ก็อ้างคำนี้ไง ทำอย่างนี้แล้วจะปิดอบายอย่างนี้
นั่งเฉยๆ ก็ปิดอบาย ไม่ทำผิดอะไรเลย
ไอ้นั่นมันเป็นความเห็น แต่ถ้าความเป็นจริง เพราะคำถาม “แนวทางดังกล่าวนี้เป็นการปิดอบายภูมิหรือไม่คะ”
เป็นคุณงามความดี เป็นการฝึกหัด เป็นการกระทำที่จะทำคุณงามความดีของเรา แล้วถ้าฝึกหัดต่อเนื่องไป ถ้ามันไปละสักกายทิฏฐิ ไม่วิจิกิจฉา มันจะรู้แจ้งเลยว่าปิดอบายจริงหรือไม่ปิดอบายจริง แล้วถ้ามันปิดของมันแล้วหรือมันทำลายแล้ว มันจะรู้จริงในใจของตน เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก
ไอ้นี่ “การปฏิบัติแบบนี้มันปิดอบายหรือเปล่าเจ้าคะ”
สงสัยใช่ไหม ถ้าสงสัยมันก็อาจจะไปอบายนะมึง คือมันไม่ปิดแท้ไง อย่าไปเชื่อใคร กาลามสูตร ห้ามเชื่อ ห้ามเชื่อ ห้ามเชื่อ แล้วเราฝึกหัดปฏิบัติของเราให้มันเป็นความจริงของเราขึ้นมา
ฉะนั้น คำถามไง “การพิจารณากายเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทำให้เกิดปัญญาหรือไม่คะ”
ใช่ วิธีการที่จะฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาการพิจารณากาย เพราะพิจารณากาย
“การพิจารณาร่างกายเป็นธาตุ ๔ ทำให้เกิดปัญญาหรือไม่”
เกิดปัญญา เกิดเชาวน์ปัญญา เกิดความเท่าทัน แล้วถ้ามีสัมมาสมาธิคือมีกำลัง มันจะพิจารณาไปโดยธรรม ถ้าสมาธิมันอ่อนลง มันจะพิจารณาไปโดยกิเลสไง
การพิจารณากายๆ เราก็พิจารณากาย เราเปรียบเทียบเฉยๆ นะ ไม่ใช่เอาสังคมมากระทบกัน การวิปัสสนากาย เวทนา จิต ธรรม โดยธรรม โดยนักวิปัสสนา มันพิจารณาโดยจิตเห็นจากภายใน
การพิจารณากาย พิจารณากายทางการแพทย์ ทางการแพทย์เดี๋ยวนี้เจริญมาก เปลี่ยนหัวใจ เปลี่ยนทุกๆ อย่าง นั่นการพิจารณากายอย่างนี้ใช่ไหม ถ้าการพิจารณากายทางโลกมันเป็นวิทยาศาสตร์ มันเป็นทางการแพทย์ มันเป็นการช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ มันเป็นความเจริญของสติปัญญาทางการแพทย์
แต่ถ้าเป็นทางธรรมๆ เขาพิจารณากายเหมือนกัน เขาพิจารณากายเพื่อละกิเลส ละทิฏฐิมานะ ละความหลง ความเห็นผิดของใจ ละความเห็นของอวิชชา ละพญามาร มันแตกต่างกัน มันแตกต่างกัน โลกกับธรรม
ธรรม พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมขึ้นมาเพื่อละทิฏฐิมานะให้หัวใจฉลาด ให้เข้มแข็ง ให้มีสติปัญญา ให้ปล่อยให้วาง ให้ละให้วาง
การพิจารณาทางโลกต้องชัดเจน มือต้องเป็นมือหนึ่ง มือต้องเที่ยง วอกแวกไม่ได้ เดี๋ยวคนไข้มีปัญหา เขายิ่งต้องชัดเจน เขายิ่งต้องมั่นคงของเขา นี่ทางโลก แต่ทางธรรมให้ละ ให้วาง ให้ทิ้ง มันคนละเรื่องกันน่ะ
“พิจารณาดิน น้ำ ลม ไฟ มันจะเป็นสติปัญญาขึ้นมาหรือไม่”
ถ้าพิจารณาโดยธรรมมันเป็นสติปัญญาขึ้นมา ฝึกหัดให้จิตใจเข้มแข็งแก่กล้า ถ้าพิจารณาทางโลกมันพิจารณาทางการแพทย์ พิจารณาไปแล้ว พ่อแม่ ลูกเจ็บไข้ได้ป่วยพาไปหาหมอ พิจารณากายไหม ดูกายลูกไง มีสติมีปัญญาทั้งนั้นน่ะ แต่มันเป็นโลกหรือเป็นธรรม นี่ข้อหนึ่ง
“หากต้องการพักจิตให้เข้าภวังค์”
ผิดมากๆ เลย
“ใช่หรือไม่คะ หากต้องการพักจิตให้เข้าภวังค์”
ภวังค์เป็นมิจฉาสมาธินะ ภวังค์ คือความตกภวังค์นี่ผิดหมดเลย
การประพฤติปฏิบัติในวงกรรมฐานที่เป็นข้าศึกอย่างสูงคือสัญญา สัญญาคือความจำได้หมายรู้ ความจำได้หมายรู้มันจำได้ มันพลิกมันแพลงได้ สัญญานี้
มันจากปัญญา ปัญญามันเป็นปัจจุบัน มันแก่มันกล้า มันพลิกมันแพลง พอมันเหนื่อยมันอ่อนขึ้นมามันปล่อยเฉยๆ มันเป็นสัญญา ไปจำไอ้ที่เคยใช้ปัญญานั่นน่ะ นั่นคือสัญญา สัญญามันหลอกมันพลิกมันแพลง สัญญานี้ตัวสอดตัวแทรก สัญญานี้ทำให้คนปฏิบัติล้มเหลว
ฉะนั้น ภวังค์ สัมมาสมาธิ สมาธิมีสติมีสัมปชัญญะสมบูรณ์แบบ สมาธินี่ เพราะศีล สมาธิ มันจะเกิดปัญญา ภวังค์ ภวังค์คือหลับใหล ภวังค์คือการไม่รู้สึกตัว ภวังค์คือขาดสติ ภวังค์ แล้วพอเป็นภวังค์ “นิพพานๆ” บ้าบอคอแตก
ฉะนั้น คำว่า “เข้าสู่ภวังค์” ผิด ผิดแบบร้ายกาจ
บรรลุธรรมต้องชัดเจน อกุปปธรรม นิโรธขณะดับทุกข์ชัดเจน ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ มันถึงจะเป็นข้อเท็จจริงไง
แต่การเข้าสู่ภวังค์ นี่ยกให้ผู้ถามนะ อาจจะเขียนผิดก็ได้
“แหม! ไม่เข้าใจเลยว่าคำว่าภวังค์มันร้ายกาจขนาดนี้ แหม! มือลั่นเขียนไปหน่อยหนึ่ง หลวงพ่อขึ้นใหญ่เลย”
คำว่า “ภวังค์” นี่ร้ายกาจมาก นั่งก็นั่งหลับ ภาวนาไปก็ไม่มีเหตุมีผล เพราะใจตัวเองเข้าใจตัวเองว่าทำแล้วได้ผล ได้ผลเพราะกิเลสมันหลอกไง คำว่า “ภวังค์”นี่เสียหายมาก
ฉะนั้นว่า “หากต้องการพักจิตให้เข้าภวังค์ ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
คือการปฏิบัติมาทั้งหมด ผลของมันคือภวังค์ คือสลบ เศร้า คำถามมาทั้งหมดดีหมดเลยนะ ตอนจบว่า การปฏิบัติแบบนี้เพื่อลงสู่ภวังค์ใช่ไหม
ฉะนั้น จะย้อนกลับไปเริ่มต้นไง
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราอยากให้เราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ การฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ ด้วยจริตด้วยนิสัยของคนมันแตกต่างหลากหลายมากมายมหาศาล การประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแนวทางไหนก็ได้ แต่ข้อเท็จจริงตรงนี้ไง
สัญญา สัญญาเป็นมหาโจรที่ร้ายกาจในวงกรรมฐาน
ภวังค์ ภวังค์เป็นสิ่งที่ร้ายกาจในการทำสมาธิ ในผลของการปฏิบัติ
สัญญากับภวังค์เป็นข้าศึกที่ร้ายกาจ เป็นมหาโจรยิ่งใหญ่สำหรับหัวใจคนที่ประพฤติปฏิบัติ
ฉะนั้น คำว่า “การปฏิบัติทั้งหมดนี้เพื่อการเข้าสู่ภวังค์ใช่หรือไม่”
ผู้ถามกลับไปทบทวนเนาะ ผิดพลาดไม่เป็นไร แหม! แค่เขียนผิดหลวงพ่อขึ้นใหญ่เลย
เพราะนี้คือสิ่งที่ชาวนักปฏิบัติไม่รู้จักมัน แล้วมันเป็นตัวบังเงาอยู่ในสังคมนักปฏิบัติทั้งหมด สัญญากับภวังค์ ที่ปฏิบัติกันไม่ได้ผลก็สมาธิมันตกภวังค์หมดไง“ว่างๆ ว่างๆ สบายๆ” ไอ้เบิร์ดกูร้องเพลงได้เงินมากกว่ามึงอีก สบายๆ ไอ้เบิร์ดน่ะ
มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นมิจฉา เป็นการประพฤติปฏิบัติผิดโดยที่ไม่มีครูบาอาจารย์องค์ใดคอยยืนยัน เพราะครูบาอาจารย์องค์นั้นไม่เป็น ถ้าครูบาอาจารย์เป็น รู้หมด
มันเป็นไปไม่ได้ แล้วคนที่ขี้เกียจ คนที่ไม่มีวาสนา มันจะลงตรงนี้หมดน่ะ เข้าสู่ภวังค์ ก็นั่งหลับ ไม่ต้องทำอะไรเลย แล้วใครจะหลับได้มากกว่ากัน ใครจะหลับได้ยาวกว่ากัน ผลของการปฏิบัติแค่นี้หรือ เศร้าไหม
นี่ข้อสงสัยของคนปฏิบัติ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกนะ อันนี้เราถือว่าเป็นผู้ฝึกหัดปฏิบัติใหม่ ไม่ถือไม่สา ไม่ได้ติเตียนอะไรทั้งสิ้น แต่คำถามมันถามแทนชาวพุทธทั้งหมดที่ฝึกหัดภาวนา
เราบอกว่าคำถามสองคำถามนี้ไม่มีอะไรเลย พื้นๆ แต่มันเป็นอุปสรรคกับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติของชาวพุทธทั้งสิ้น เอวัง